วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Website อ.นพดล



Website

Web 1.0


แนะนำให้รู้จักกับ WEB 1.0, 2.0, 3.0, 4.0
     ลองนึกย้อนไปตอน Internet เพิ่งเริ่มมีการพัฒนาอย่างจริงๆจังๆ เราจะเริ่มหรือเคยเห็นมีเว็บไซต์หลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าของเว็บไซต์ก็จะเป็นการนำเอาข้อมูลที่ตัวเอง ต้องการนำเสนอไปทำในรูปแบบของ html หรือข้อมูลต่างๆที่เราเห็นอยู่นั่นแหละไปใส่ไว้ในเว็บไซต์ หรืออินเตอร์เน็ต ส่วนเราผู้ใช้ก็มีหน้าที่ คือกดเข้าไปอ่านส่วนเจ้าของก็คือมีหน้าที่คือ Update ข้อมูลเข้ามาทำกันไปกันมาแบบเดียวกันนี้แหละ ซึ่งโดยสรุปเราอาจจะเรียกวิธีการแบบนี้ว่าเป็นการสื่อสารแบบทางเดียว หรือเรียกว่า One Way Communication ก็ได้

Web 2.0
แนะนำให้รู้จักกับ WEB 1.0, 2.0, 3.0, 4.0
     จาก WEB 1.0 ต่อมาเว็บไต์ก็เริ่มมีการพัฒนา พวก WEB Board, Blog, มีการนำภาพมาแชร์ นำ วีดีโอ มา Post มีการแชร์ แบ่งปัน แลกเปลี่ยน พูดคุย ถกเถียงกัน นินทา ประจาน ใส่ร้ายก็มี ทั้งจากเจ้าของเว็บไซต์เอง หรือจากคนที่เข้ามาใช้งานเว็บไซต์กันเองเรียกว่า ผู้ใช้กลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ ข้อมูล หรือ Content ในเว็บไซต์นั้นมีการ update และพัฒนา ปรับปรุง อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เว็บไซต์มีรูปแบบของการสื่อสารเป็นแบบสองทาง หรือ Two Way Communication ซึ่งพอมาถึงจุดนี้ทำให้ อินเตอร์เน็ตมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมากกกก ลองดูข้อมูลที่ผมได้มา จากภาพก็พอจะเข้าใจว่าเกิดไรขึ้นบ้างในช่วงเวลาไม่กี่ปีของการพัฒนาจาก WEB 1.0 มาเป็น web 2.0

Web 3.0
แนะนำให้รู้จักกับ WEB 1.0, 2.0, 3.0, 4.0
     จาก WEB 2.0 ก็เริ่มขยับก้าวเข้ามาสู่ช่วงของ WEB 3.0 สื่งที่คนพัฒนาเว็บกำลังพยายามทำกันต่อก็คือ แก้ไขปัญหาของข้อมูลหรือ Content ที่ไม่มีคุณภาพต่างๆ ที่ WEB 2.0 ได้สร้างขึ้น ซึ่งมีการขยายขนาดและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วทำยังไงละผู้ใช้ถึงจะสามารถเข้าถึง Content หรือสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ง่ายและตรงความต้องการมากที่สุด สะดวกที่สุด ก็เลยมีการพูดถึง

Web 4.0
แนะนำให้รู้จักกับ WEB 1.0, 2.0, 3.0, 4.0

     WEB 4.0 หรือบางทีเขาเรียกกันว่า “A Symbiotic web” คือเว็บที่ทำงานแบบ Artificial Intelligence (AI) ที่ฉลาดมากยิ่งขึ้น คอมพิวเตอร์สามารถคิดได้ มีความฉลาดมากขึ้น ในการอ่านทั้งเนื้อหา ข้อความ และรูปภาพ  หรืวีดีโอ สามารถที่จะตอบสนองหรืตัดสินใจได้ว่าจะ load ข้อมูลอะไร จากไหน ที่จะให้ประสิทธิภาพดีที่สุดมาให้ผู้ใช้งานก่อนก่อน  และนอกจากนี้ยังมีรูปแบบการนำมาแสดงที่รวดเร็ว เว็บ 4.0 จะทำให้เว็บ หรือข้อมูลต่างๆ สามารถทำงานได้แทบจะทุก Device หรืออาจจะช่วยระบุตัวตนที่แท้จริงของผู้ใช้เอง



ที่มา : http://rattanasak.jigsawoffice.com/content/content.php?mid=2862&did=340&tid=4

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คำศัพท์ด้านอินเตอร์เน็ตและเครือข่าย อ.กิตติศักดิ์


คำศัพท์ด้านอินเตอร์เน็ตและเครือข่าย

1. Medium เป็นสื่อกลางที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลจากต้นก าเนิดไปยังปลายทางสื่อกลางนี้อาจจะเป็น เส้นลวด สายไฟ สายเคเบิล หรือสายไฟเบอร์ออปติก เป็นต้น หรืออาจจะเป็นคลื่นที่ส่งผ่านในอากาศ เช่น คลื่นไมโครเวฟ คลื่นดาวเทียม หรือคลื่นวิทยุ เป็นต้น

2. Firewall คือซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ที่ตรวจสอบข้อมูลซึ่งมาจากอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่าย จากนั้นอาจบล็อกข้อมูลนั้นหรือปล่อยให้ข้อมูลนั้นผ่านเข้ามายังคอมพิวเตอร์ของคุณ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าไฟร์วอลล์ของคุณ

3. Baseband เป็นการใช้ช่องทางการสื่อสารเพียงช่องทางเดียวสำหรับการส่งสัญญาณดิจิทัลในแต่ละครั้งในช่วงเวลาหนึ่ง โดยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มักใช้การส่งสัญญาณชนิดนี้ เนื่องจากเป็นวิธีการที่ไม่ซับซ้อนและสามารถจัดการควบคุมง่าย

4. Cloud Computing จะเป็น Business Model ที่ยอมรับจากหลายบริษัท เพราะนอกจาก Application ที่จำลองการทำงานของซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ (Virtualized) แล้วในต่างประเทศยังมีหลากหลายองค์กรที่พยายามหรือทำการพัฒนาระบบปฏิบัติการ เสมือน หรือระบบจำลอง Operating System ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่รองรับธุรกิจ

5. Broadband เป็นการใช้ช่องทองการสื่อสารหลายช่องทางเพื่อส่งสัญญาณอนาล็อก โดยแต่ละครั้งข้อมูลสามารถจัดส่งหรือลำเลียงบนช่วงความถี่ที่แตกต่างกัน ดังนั้นการส่งสัญญาณชนิดนี้จะมีระบบการจัดการที่ยุ่งยากกว่าการส่งสัญญาณแบบเบสแบนด์มาก 

6. Core Layer คือ เป็นศูนย์กลางของระบบ network หน้าที่หลักของ Layer คือทำสิ่งที่เรียกว่า Forward Packet โดยตัวมันจะรับ Packet ที่อยู่ใน Layer ต่างๆมาแล้วทำการ Forward ออกไป โดยบนตัวมันจะmulticast: สนับสนุนเครือข่ายข้อมูลแบบไร้สาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยี  cellular digital packet data (CDPD) ใช้สำหรับโปรแกรม MBone เป็นระบบที่ยินยอมให้ผู้ใช้ ที่ตำแหน่ง bandwidth สูงบนอินเตอร์เน็ต โดย Mbone multicast ใช้โปรโตคอล ที่ยอมให้สัญญาณจับกลุ่มเป็นแพ็ตเกต TCP/IP เมื่อผ่านส่วนของอินเตอร์เน็ต แต่ไม่สามารถดูแลโปรโตคอล Multicast โดยตรงบรรจุเส้นทางหรือ Routing Table เพื่อที่จะได้ทำการ Forward Packet ไปยัง Network ต่างๆได้อย่างถูกต้อง

7. Cellular Radio คือ คลื่นวิทยุ เป็นลักษณะของระบบสื่อสารวิทยุ เป็นสื่อกลางการสื่อสารแบบไร้สายที่สามารถแพร่ได้บนระยะทางไกล เช่น ระหว่างเมืองหรือระหว่างประเทศ และยังไม่รวมถึงการแพร่บนระยะทางสั้นๆ อย่างไรก็ตาม คลื่นวิทยุนั้นมีความเร็วค่อนข้างต่ า อีกทั้งไวต่อสัญญาณรบกวน แต่ข้อดีคือมีความยืดหยุ่นสูง สะดวกต่อการใช้งาน และผู้ใช้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

8. Topology คือ เป็นรูปแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันในเครือข่าย จะต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ตัวกลางตัวหนึ่งที่เรียกว่า ฮับ (HUB) หรือสวิตช์ (Switch) 

9. Microwave คือ คลื่นไมโครเวฟ เป็นการส่งสัญญาณข้อมูลไปกลับคลื่นไมโครเวฟเป็นการส่งสัญญาณข้อมูลแบบรับช่วงต่อๆ กัน จากหอ (สถานี) ส่งรับสัญญาณหนึ่งไปยังอีกหอหนึ่งแต่ละหอจะครอบคลุมพื้นที่รับสัญญาณประมาณ 30 - 50 กม.

10. Satellite  คือสัญญานดาวเทียม เป็นลักษณะของการรับส่งสัญญาณข้อมูลอาจจะเป็นแบบจุดต่อจุด (Point-to-Point) หรือแบบแพร่สัญญาณ (Broadcast) สถานีดาวเทียม 1  ดวง สามารถมีเครื่องทบทวนสัญญาณดาวเทียมได้ถึง 25 เครื่อง และสามารถครอบคลุมพื้นที่การส่งสัญญาณได้ถึง 1 ใน 3ของพื้นผิวโลก



ข่าว IT อ.นพดล



32-BIT หลบไป!! APPLE A7 บน IPHONE 5S จะทำงานแบบ 64-BIT เร็วกว่าเดิม 30%

32 Bit หลบไป!! Apple A7 บน iPhone 5S จะทำงานแบบ 64 Bit เร็วกว่าเดิม 30% แต่... international update hot update

iPhone 5S ก็ใกล้วางจำหน่ายเต็มทีแล้ว ข่าวหลุดก็เริ่มหลั่งไหลมามากขึ้น คราวนี้เป็นข่าวหลุดเกี่ยวกับชิปมือถือตัวใหม่ ที่ชื่อว่า Apple A7 ที่เค้าว่ากันว่ามันธรรมดาบนความไม่ธรรมดา
Clayton Morris ได้บอกว่าแหล่งข่าววงในรายงานมาอีกทีว่า iPhone 5S จะใช้ Apple A7 และเร็วขึ้นกว่า Apple A6 ถึง 31% ด้วยกัน และดูเหมือนว่า Apple A7 จะยังคงเป็นชิป Dual Core เหมือนเดิม ในขณะที่ชาวบ้านชาวช่อง (แอนดรอยด์) ไปเป็น Quad Core กันหมดแล้ว
เรื่องของเรื่องก็คือชิปประมวลผล Apple A7 นั้นจะขยับไปทำงานแบบ 64-Bit อีกด้วย แม้ว่าจะมีความแตกต่างไม่มากนัก เนื่องจากสมาร์ทโฟนในปัจจุบันยังใส่แรมกันไม่ถึง 4GB (64-Bit จะทำให้รองรับแรมมากกว่า 4GB ได้ แต่สมาร์ทโฟนในปัจจุบันยังใส่แรมกันสูงสุดที่ 2GB เท่านั้นเอง)

ที่มา : http://www.mxphone.net/260813-a7-will-be-64-bit/

วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ข่าว IT MHL เปิดตัว MHL 3.0 อ.นพดล


MHL เปิดตัว MHL 3.0

MHL เปิดตัว MHL 3.0 international update hot update

MHL คือเทคโนโลยีที่ให้เราส่งต่อข้อมูลจากบนโทรศัพท์ หรือแทบเล็ตไปยังหน้าจอโทรทัศน์ได้ และล่าสุดก็ได้มีการเปิดเผยสเปคของ MHL 3.0 เวอร์ชันใหม่แล้ว

MHL 3.0 ที่เพิ่งเปิดเผยสเปคนี้จะรองรับการส่งข้อมูลมากกว่าเดิมถึง 2 เท่าด้วยกัน ทำให้สามารถส่งข้อมูลที่มีความละเอียดระดับ 4K (Ultra HD) สบายๆ  สำหรับสเปคคร่าวๆ ในตอนนี้ได้แก่

  • รองรับการส่งข้อมูลละเอียดระดับ 4K
  • ส่งข้อมูลแบบ High speed อย่างต่อเนื่อง
  • ปรับปรุง Remote Control Protocol (RCP) และรองรับอุปกรณ์เสริมอย่างหน้าจอสัมผัส คีย์บอร์ด เมาส์
  • ชาร์จไฟเพิ่มได้เป็น 10W
  • รองรับเทคโนโลยีเก่าอย่าง MHL 1 และ MHL 2
  • ใช้เทคโนโลยีป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ HDCP 2.2 ตัวล่าสุด
  • รองรับระบบเสียง 7.1 Surround แบบ Dolby TrueHD และ DTS-HD
  • ใช้พินน้อยลง เหลือเพียง 5 พิน
  • รองรับการเชื่อมต่อหลายจอ
สำหรับมาตรฐาน MHL 3.0 ที่เพิ่งเปิดตัวนี้อาจจะใช้เวลาสักพัก กว่าผู้ผลิตโทรศัพท์สมาร์ทโฟนจะนำไปใส่ในโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ แต่เชื่อได้ว่าไม่เกินครึ่งปีนี้น่าจะได้เห็นกันอย่างแน่นอน

คำศัพท์ด้านอินเตอร์เน็ตและเครือข่าย อ.กิตติศักดิ์


คำศัพท์ด้านอินเตอร์เน็ตและเครือข่าย

1. Upload เป็นการส่งไฟล์ของคุณเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยเราเรียกการส่งไฟล์แบบนี้ว่า Upload

2. TOKEN RING มาตราฐานการเชื่อต่อเคเบิล อย่างหนึ่งในระบบเครือข่าย

3. Usenet (User Network) เป็นรูปแบบเน็ตเวอร์คสาธารณะที่รวบรวมกลุ่มข่าวสารต่างๆ(newsgroups) ไว้นับพันๆกลุ่ม

4. TELNET เครื่องมือในการติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกล

5. Router เป็นการรวมกันระหว่าง Hardware กับ Software ที่จัดการเกี่ยวกับเส้นทางการไหลของข้อมูล ใช้เพื่อค้นหาเส้นทางบนเน็ตเวิร์ค

6. Repeater เมื่อคอมพิวเตอร์ส่งสัญญาณข้อมูลในรูปของสัญญาณไฟฟ้าไปตามสายที่มีความยาวมาก จะทำให้ความแรงของสัญญาณไฟฟ้าที่ปลายสายค่อย ๆ ลดน้อยลงไปตามระยะทางที่ยาวขึ้น เมื่อต้องการติดตั้งระบบแลนที่กินพื้นที่ค่อนข้างกว้าง จำเป็นที่จะต้องมีอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มความแรงของสัญญาณ

7. Protocol ข้อตกลง, หลักการ, กฏเกณฑ์ที่ได้ อธิบายการทำงาน ว่าต้องทำอย่างไร ใช่ร่วมกันในการสื่อสาร

8. Frame Relay เป็นบริการของ เครือข่ายพื้นที่กว้าง (WAN) ที่เป็นการเชื่อมต่อ แบบปิด-เปิด (on-and-off) ระหว่างสถานที่ ที่อยู่ห่างกัน
เป็นระยะทางไกล

9. PING (Packet Internet Groper) ใช้ประโยชน์สำหรับการส่งข้อมูลที่เป็นแพคเกท เพื่อค้นหาเครื่องคอมพิวเตอร์ ผ่านเน็ตเวอร์ค อาจจะใช้เพื่อ ตรวจสอบดูว่า คอมพิวเตอร์ นั้นถูกต่อกับเน็ตเวอร์ค หรือไม่

10. DIAL UP การติดต่อกับคอมพิวเตอร์ หรือระบบเครือข่าย ผ่านทางสายโทรศัพท์

การเชื่อมต่อระบบเครือข่าย อ.กิตติศักดิ์



การเชื่อมต่อระบบเครือข่าย

การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายโดยใช้ ADSL

     เป็นระบบที่มีความสลับซับซ้อน แต่ละบริษัทจะมีการออกแบบที่ไม่เหมือนกันโดยทั่วไประบบเครือข่ายขนาดใหญ่จะมีการแบ่งกันอย่างชัดเจน ระหว่าง Server Farm และ ฝั่งลูกข่าย (Client)  
การเชื่อมต่อเครือข่ายขนาดกลางด้วย ADSL 

การเชื่อมต่อเครือข่ายขนาดกลางด้วย ADSL 

     ในการเชื่อมต่อแบบนี้ ส่วนมากโมเด็มที่ใช้จะเป็น ADSL Router แบบ Fix IP คือหลังจากเลือกใช้บริการทางฝั่งผู้ให้บริการจะแบ่งหมายเลข IP Address (IP จริง) ให้มาส่วนหนึ่ง โดยเราสามารถนำ IP Address เหล่านี้มาตั้งเซิร์ฟเวอร์ได้โดยหากคิดจะติดตั้งเซิร์ฟเวอร์และใช้งานผ่านสื่อ ADSL คุณต้องทำงานหนักอีกด่านคือการติดตั้ง Firewall (สามารถเลือกติดตั้งได้ทั้ง Hardware Firewall หรือ Software Firewall)เพราะ ADSL มีข้อเสียอยู่ที่ไม่มีระบบ Security นั่นเอง โดยการเชื่อมต่อลักษณะนี้ ในปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ
การเชื่อมต่อระบบขนาดใหญ่โดยใช้เร้าเตอร์


การเชื่อมต่อระบบขนาดใหญ่โดยใช้เร้าเตอร์

      เป็นระบบที่มีความสลับซับซ้อน แต่ละบริษัทจะมีการออกแบบที่ไม่เหมือนกันโดยทั่วไประบบเครือข่ายขนาดใหญ่จะมีการแบ่งกันอย่างชัดเจน ระหว่าง Server Farm และ ฝั่งลูกข่าย (Client)  

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การออกแบบระบบเครือข่าย อ.กิตติศักดิ์



การออกแบบระบบเครือข่าย 

การเชื่อมต่อเครือข่ายขนาดเล็กด้วย IP Sharing
     IP Sharing เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแชร์อินเทอร์เน็ต นิยมใช้ในร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ หรือบริษัทขนาดเล็ก โดยส่วนมากอุปกรณ์  IP Sharing จะต้องเชื่อมต่อกับโมเด็ม เพื่อหมุนออกอินเทอร์เน็ตอีกทีหนึ่ง ข้อดีของ  IP Share คือเราไม่ต้องเปลืองเครื่องคอมพิวเตอร์ในการแชร์ เพราะตัวอุปกรณ์จะจัดการให้ทั้งหมด ปัจจุบัน  IP Sharing ยังมีใช้งานอยู่ทั่ไป (คาดการว่าในอนาคตอันใกล้จะถูกแทนที่ด้วย ADSL Modem)




การเชื่อมต่อเครือข่ายขนาดกลางด้วย ADSL Router
     ในการเชื่อมต่อแบบนี้ ส่วนมากโมเด็มที่ใช้จะเป็น ADSL Router แบบ Fix IP กล่าวคือหลังจากเลิกใช้บริการทางฝั่งผู้ให้บริการจะแบ่งหมายเลข IP Address (IP จริง) ให้มาส่วนหนึ่ง โดยเราสามารถนำ IP Address เหล่านี้มาติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ได้โดยหากคิดจะติดตั้งเซิร์ฟเวอร์และใช้งานผ่านสื่อ ADSL คุณต้องทำงานหนักอีกด่านคือการติดตั้ง Firewall (สามารถเลือกติดตั้งได้ทั้ง Hardware Firewall หรือ Software Firewall) เพราะ ADSL มีข้อเสียอยู่ที่ไม่มีระบบ Security นั่นเอง โดยการเชื่อมต่อลักษณะนี้ในปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ




การเชื่อมต่อระบบขนาดใหญ่โดยใช้เร้าเตอร์
       ป็นระบบที่มีความสลับซับซ้อน แต่ละบริษัทจะมีการออกแบบที่ไม่เหมือนกันโดยทั่วไประบบเครือข่ายขนาดใหญ่จะ มีการแบ่งกันอย่างชัดเจน ระหว่างห้องเซิร์ฟเวอร์ (Server Farm) และฝั่งลูกข่าย (Client)  ระบบขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่จะมีสาขาย่อยตามต่างจังหวัด เชื่อมต่อมายังหน่วยงานกลาง ผ่านทางRouter  




วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Cloud computing อ.นพดล



Cloud computing

     Cloud computing การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ เป็นลักษณะของการทำงานของผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ผ่านอินเทอร์เน็ต ที่ให้บริการใดบริการหนึ่งกับผู้ใช้ โดยผู้ให้บริการจะแบ่งปันทรัพยากรให้กับผู้ต้องการใช้งานนั้น การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ เป็นลักษณะที่พัฒนาขึ้นต่อมาจากความคิดและบริการของเวอร์ชัวไลเซชันและเว็บเซอร์วิส โดยผู้ใช้งานนั้นไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในเชิงเทคนิคสำหรับตัวพื้นฐานการทำงาน



ส่วนประกอบของ cloud computing
     1. Transparency ใน clound computing จะต้องมีการใช้ Transparent load-balancing คือ ความพยายามที่จะทำให้เกิด balance ในการทำงานเมื่อมีการเรียกใช้ application จากผู้ใช้หลายๆคนพร้อมกัน โดยจะกระจาย load หรืองานไปให้เครื่องหรือ server อื่นๆเพื่อช่วยในการทำงาน อย่างเช่น ปกติการให้บริการจะ run อยู่บน server ตัวเดียว แต่เมื่อไหร่ก็ตามมีผู้ใช้งานจำนวนมากและจำเป็นต้องใช้ server เพิ่มขึ้น transparency จะอนุญาตให้มีการประสานงานกับ server อื่นๆได้โดยที่ไม่ต้องขัดจังหวะการทำงานหรือต้องติดตั้งระบบกันใหม่ อย่างนี้เป็นต้นส่วน application deliveryหรือการให้บริการระบบงาน จะช่วยตอบสนองความต้องการให้ application และข้อมูลทุกรูปแบบได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนและเวลาใดก็ตาม
     2. Scalability คือ สามารถปรับขนาดระบบได้ตามภาระงาน
     3. Intelligent Monitoring มีระบบที่สามารถตรวจสอบได้ว่า application หรือ service มีปัญหาอะไร ตรงไหนบ้าง
      4. Security เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ใน cloud ซึ่งก็มีความเสี่ยงอยู่เหมือนกันที่ข้อมูลสำคัญๆอาจจะถูกขโมยหรือเกิดความเสียหายจากการโจมตีระบบได้ ดังนั้นสถาปัตยกรรมของ cloud computing จึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับต้น

รูปแบบของ cloud แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ

     1. Public clouds มี server จำนวนมากและตั้งอยู่หลายๆที่ ซึ่งผู้ใช้จะใช้บริการผ่าน web application หรือ web service

     2. Private cloud ผู้ใช้บริการเป็นผู้บริหารจัดการระบบเอง โดยจะมีการจำลอง cloud computing ขึ้นมาใช้งานใน network ส่วนตัว รูปแบบนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายเพราะมีการแชร์ทรัพยากรร่วมกัน และ มีความสะดวกเนื่องจากผู้ให้บริการจะมีหน้าที่ติดตั้งระบบและดูแลรักษาให้
     3. Hybrid cloud ประกอบขึ้นด้วยผู้ให้บริการแบบ public และ private ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางระบบ enterprise

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สรุปหลังสอบ Mid Term อ.กิตติศักดิ์


สรุปหลังสอบ Mid Term

ตอนที่ 1
1. การส่งสัญญาณ Multicast คือ เป็นการสื่อสารระหว่างผู้ส่ง 1 รายกับผู้รับหลายรายบนระบบเครือข่าย การใช้โดยทั่วไป รวมถึงการปรับปรุงจากสำนักงาน และเอกสารตามระยะเวลา ของจดหมายข่าว เมื่อรวมกับ anycast, unicast และmulticast ซึ่งเป็นประเภทแพ็คเกตใน Internet Protocol Version 6 (IPV 6)

2. Proxy Server คือ การนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาตั้งเพื่อให้บริการแก่กลุ่มผู้ใช้ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน และกำหนดให้ผู้ใช้ทุกคนเรียกใช้ข้อมูล WWW ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์นี้ โดยเครื่องดังกล่าวจะมีการติดตั้งโปรแกรมเพื่อทำหน้าที่เรียกข้อมูล WWW มาให้บริการแก่ผู้ใช้ และจัดเก็บข้อมูลที่เคยถูกเรียกนั้นไว้ ในเครื่อง เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้ข้อมูลนั้นซ้ำ ได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาไปเรียกข้อมูลมาจากแหล่งข้อมูลภายนอกมาใหม่ ซึ่งเทคนิคดังกล่าว จะทำให้ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ข้อมูลที่(ส่วนใหญ่)เคยมีผู้เรียกใช้มาก่อนได้รวดเร็วขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาไปเรียกข้อมูลจากแหล่งข้อมูลภายนอกมาใหม่ อันจะทำให้ประสิทธิภาพในการใช้งานระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

3. สาย UTP (Unshielded Twisted Pair) คือ เป็นสายโทรศัพย์แบบพื้นฐาน twisted pair เป็นสายทองแดงธรรมดาที่ต่อตามบ้านคอมพิวเตอร์ของบริษัทไปยังผู้ให้บริการโทรศัพท์ การหุ้มฉนวนที่สายและพันเป็นเกลียว เพื่อลดการรบกวนและการเหนี่ยวนำระหว่างสายสัญญาณแต่ละสัญญาณบนสาย twisted pair ต้องการสายทั้งสอง ในการติดตั้งโทรศัพท์ หรือคอมพิวเตอร์แบบ mulitiple connections ต้องการสาย twisted pair ตั้งแต่ 2 คู่ ขึ้นภายในสายเดียวกัน
 
4. มาตรฐาน 802.11g คือ ใช้ความถี่ 2.4 GHz สามารถรับส่งข้อมูลที่ความเร็ว 36 - 54 Mbps ซึ่งเป็นความเร็วที่สูงกว่ามาตรฐาน 802.11b โดยมาตรฐาน 802.11g สามารถปรับระดับความเร็วในการสื่อสารลงเหลือ 2 Mbps ได้ตามสภาพแวดล้อมของเครือข่ายที่ใช้งาน มาตรฐานนี้เป็นที่นิยมของผู้ใช้เป็นจำนวนมากและเข้ามาแทนที่ 802.11b ที่ความเร็วต่ำกว่า
 
5. Firewall คือ เป็นระบบรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์แบบหนึ่งที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีทั้งอุปกรณ์ Hardware และ Software โดยหน้าที่หลัก ๆ ของ Firewall นั้น โดย Firewall จะเป็นคนที่กำหนด ว่า ใคร(Source), ไปที่ไหน (Destination) , ด้วยบริการอะไร (Service/Port)
 
6. Cloud Computing คือ การประมวลผลที่อิงกับความต้องการของผู้ใช้ โดยผู้ใช้สามารถระบุความต้องการไปยังซอฟต์แวร์ของระบบ Cloud Computing จากนั้นซอฟต์แวร์จะร้องขอให้ ระบบ จัดสรรทรัพยากรและบริการให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ โดยระบบสามารถเพิ่มหรือลดจำนวนทรัพยากรให้พอเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้

7. ISP (Internet Service Provider) คือ เป็นบริษัท ที่ให้เอกชน และบริษัทเข้าถึงอินเตอร์เน็ต และบริการอื่นทีเกี่ยวข้อง เช่น การสร้าง web site และ virtual hosting โดย ISP มีอุปกรณ์และสายการสื่อสาร ที่เข้าถึงโดยต้องการ Point-of-Presence (POP) บนอินเตอร์เน็ต สำหรับการให้บริการ ตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ISP
 
8. Core Layer คือ เป็นศูนย์กลางของระบบ network หน้าที่หลักของ Layer คือทำสิ่งที่เรียกว่า Forward Packet โดยตัวมันจะรับ Packet ที่อยู่ใน Layer ต่างๆมาแล้วทำการ Forward ออกไป โดยบนตัวมันจะบรรจุเส้นทางหรือ Routing Table เพื่อที่จะได้ทำการ Forward Packet ไปยัง Network ต่างๆได้อย่างถูกต้อง

9. Star Topology คือ เป็นรูปแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันในเครือข่าย จะต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ตัวกลางตัวหนึ่งที่เรียกว่า ฮับ (HUB) หรือสวิตช์ (Switch)

10. สถาปัตยกรรม แบบ P2P (Peer to Peer) คือ ไม่มีความหมายชัดเจนของอุตสาหกรรมจะมีมุมมองที่แตกต่างกันหรือความเข้าใจ ส่วนใหญ่เห็นว่ารายละเอียดดังต่อไปนี้ P2P ทำให้อุปกรณ์เครือข่ายสามารถให้บริการกับอุปกรณ์เครือข่ายอื่น ๆ

ตอนที่ 2
1. Fault tolerant คือ อธิบายการออกแบบระบบคอมพิวเตอร์หรือส่วนประกอบ ดังนั้นในเหตุการณ์ที่ส่วนประกอบล้มเหลว ส่วนประกอบหรือกระบวนการสำรองสามารถเข้าแทนที่ทันทีโดยไม่สูญเสียการบริการ fault tolerant สามารถให้ได้โดยซอฟต์แวร์หรือฝังในฮาร์ดแวร์ หรือให้แบบผสม

2. Scalability คือ สามารถปรับขนาดระบบได้ตามภาระงาน

3. Quality of Service คือ การควบคุมพฤติกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของระบบเพื่อให้บริการที่มีคุณภาพ เช่น มีการรับประกันเวลาที่ใช่ในการส่งข้อมูล การสูญหายของข้อมูลและ คุณภาพของสัญญาณตามที่ได้กำหนดไว้

4. Security คือ เป็นระบบรักษาความปลอดภัยครับ เช่น anti virus firewall ระบบการ monitor network การพยายามหาจุดบกพร่องของระบบแล้วแก้ไข การตรวจสอบตัวตนเพื่อให้เข้าใช้ได้เฉพาะผู้ได้รับอนุญาตเท่านั้น

ตอนที่ 3
OSI คือ (Open Systems Interconnection) เป็นคำอธิบายมาตรฐาน หรือ "reference model" (แบบจำลองอ้างอิง) สำหรับวิธีการส่งผ่านข่าวสารระหว่างจุด 2 จุดในเครือข่ายการสื่อสาร


เลเยอร์ 7 application layer, เลเยอร์นี้เป็นส่วนการสื่อสารได้รับการระบุ, คุณภาพการบริการมีการระบุ, user authentication และส่วนบุคคลได้รับการพิจารณา ข้อจำกัดบนไวยากรณ์ข้อมูล ได้รับการระบุ (เลเยอร์นี้ไม่ใช่การประยุกต์โดยตัวเอง แต่บางโปรแกรมประยุกต์ อาจจะทำงานใน application layer)

เลเยอร์ 6 presentation layer, เลเยอร์นี้ เป็นส่วนของระบบปฏิบัติการที่แปลงข้อมูลนำเข้า และส่งออกจากรูปแบบการนำเสนอไม่เป็นรูปแบบอื่น (ตัวอย่าง เช่น จากชุดข้อความ เป็น popup window กับ ข้อความที่มาถึงใหม่) บางครั้งเรียกว่า syntax layer

เลเยอร์ 5 session layer, เลเยอร์นี้ ตั้งค่า ประสานงาน แลกเปลี่ยน และหยุดการสนทนา โต้ตอบระหว่างโปรแกรมประยุกต์ที่แต่ละจุดปลาย ซึ่งเกี่ยวข้องถึง session และการประสานเชื่อมต่อ

เลเยอร์ 4 transport layer, เลเยอร์นี้ จัดการตัวควบคุม end-to-end (ตัวอย่าง เช่น การหาว่าแพ็คเกตทั้งหมดมาถึงครบหรือไม่) และตรวจสอบความผิดพลาด เป็นการทำให้มั่นใจว่าการส่งผ่านข้อมูลสมบูรณ์

เลเยอร์ 3 network layer, เลเยอร์นี้ดูแลเส้นทางของข้อมูล (ส่งให้ถูกทิศทางไปยังปลายทางที่ถูกต้อง ขณะที่ส่งผ่านออกไป และการรับ เมื่อส่งผ่านเข้ามาที่ระดับแพ็คเกต) network layer ทำงานด้านเส้นทางและการส่งต่อ

เลเยอร์ 2 data-link layer, เลเยอร์นี้ให้การ synchronization สำหรับระดับกายภาค และทำ bit-stuffing สำหรับข้อความของ 1 มากกว่า 5 เปิดการรับรู้และจัดการโปรโตคอลการส่งผ่าน

เลเยอร์ 1 physical layer, เลเยอร์นี้ส่งผ่าน bit system ผ่านเครือข่ายที่ระดับไฟฟ้าและกลไก เป็นการให้วิธีการกับฮาร์ดแวร์ในการส่งและรับข้อมูลบนตัวกลาง

ตอนที่4
ประโยชน์ของระบบเครือข่ายและการสื่อสารข้อมูล
1.การใช้อุปกรณ์ร่วมกัน
2.การใช้โปรแกรมและข้อมูลร่วมกัน
3.สามารถติดต่อสื่อสารระยะไกลได้
4.สามารถประยุกต์ใช้ในงานด้านธุรกิจได้
5.ความเชื่อถือได้ของระบบงาน

ตอนที่ 5
5.1 Ip Address = 118.0.0.0
          -ต้องการแบ่งเป็น 126 subnet
          -มีจำนวน host ที่ใช้งานได้ 131,070
         
          Address Class : A 
          Default subnet mask : 255.0.0.0
          Custom subnet mask : 255.254.0.0
          Total Number of subnets : 128
          Number of usable subnets : 126
          Total number of host address :131,072
          Number of usable address : 131,070



5.2 Ip Address = 178.100.0.0
          -ต้องการแบ่งเป็น 2000 subnet
          -มีจำนวน host ที่ใช้งานได้ 15
          
          Address Class : B
          Default subnet mask : 255.255.0.0
          Custom subnet mask : 255.255.255.224
          Total Number of subnets : 2,048
          Number of usable subnets : 2,046
          Total number of host address : 32
          Number of usable address : 30

   

5.3 Ip Address = 195.85.8.0
          -ต้องการแบ่งเป็น 6 subnet
          -มีจำนวน host ที่ใช้งานได้ 30

          

          Address Class : C
          Default subnet mask : 255.255.255.0
          Custom subnet mask : 255.255.255.248
          Total Number of subnets : 32
          Number of usable subnets : 30
          Total number of host address : 8
          Number of usable address : 6

5.4 Ip Address = 148.75.0.0
          -ต้องการแบ่งเป็น 1000 subnet
          -มีจำนวน host ที่ใช้งานได้ 60

          
          Address Class : B
          Default subnet mask : 255.255.0.0
          Custom subnet mask : 255.255.255.192
          Total Number of subnets : 1,024
          Number of usable subnets : 1,022
          Total number of host address : 64
          Number of usable address : 62

   
5.5 Ip Address = 192.10.10.0
          -ต้องการแบ่งเป็น 14 subnet
          -มีจำนวน host ที่ใช้งานได้ 14

          
          Address Class : C
          Default subnet mask : 255.255.255.0
          Custom subnet mask : 255.255.255.240
          Total Number of subnets : 16
          Number of usable subnets : 14
          Total number of host address : 16
          Number of usable address : 14